วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความแตกต่างระหว่างสาย HDMI ราคาถูกกับราคาแพง


ความแตกต่างระหว่างสาย HDMI ราคาถูกกับราคาแพง


“คำถาม: สาย HDMI แบบเส้นละ 300 บาท กับเส้นละ 4,000 บาทต่างกันตรงไหน ผมควรจะซื้อแบบไหนดีครับ?”
ผม (ผู้เขียน) เป็นวิศวกรด้านกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ ผมทำงานคลุกคลีอยู่กับสัญญาณอนาล็อก และดิจิตอลอยู่ทุกๆ วัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมคิดว่าผมมีคุณวุฒิและคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะตอบคำถามนี้
และคำตอบสำหรับคำถามนี้ก็คือ “ไม่ครับ – สาย HDMI ราคาแพงไม่ช่วยทำให้คุณภาพของภาพและเสียงดีขึ้นแต่อย่างใด”
ผมขออธิบายเหตุผลทางด้านเทคนิคที่ค่อนข้างซับซ้อนก่อน และหลังจากนั้นจะอธิบายในเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งผมหวังว่ามันจะฟังดูสมเหตุสมผลสำหรับคุณ ถ้าคุณไม่อยากอ่านข้อมูลเชิงเทคนิคล่ะก็ ขอแนะนำให้ข้ามไปอ่านใน Section B ครับ
Section A:
ด้วยหลักการง่ายๆ ที่ว่า สายไฟถูกออกแบบมาให้ส่งสัญญาณไฟฟ้า อะไรก็ตามที่ถูกส่งผ่านสายไฟสุดท้ายแล้วเป็นเพียง กระแส/ความต่างศักย์ ที่เราป้อนเข้าไปให้มัน
ก่อนเข้าสู่เรื่องสาย HDMI ขอพูดกันด้วยเรื่องสายอนาล็อกก่อน สัญญาณวีดีโอแบบอนาล็อกที่ส่งผ่านสายนั้นจะเป็นกระแสไฟที่เป็นแบบ 1 volt peak to peak หรืออธิบายง่ายๆ ว่า ถ้าเราวัดความต่างศักย์ของกระแสในสายเส้นนี้ที่ voltage ต่ำสุดกับที่ voltage สูงสุด เราจะวัดได้ 1 volt พอดี สัญญาณอนาล็อกจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามช่วงเวลา (slices of time) ซึ่งจะตรงกับจำนวน “เส้น (lines)” ของสัญญาณที่ส่งไปยังทีวี ผมจะขอไม่ลงในรายละเอียดตรงส่วนนี้ เพราะค่อนข้างเป็นรายละเอียดทางเทคนิคที่ซับซ้อน
พูดง่ายๆ ก็คือ สัญญาณอนาล็อก จะประกอบไปด้วย “front porch” หรือสัญญาณส่วนหน้า ซึ่งสัญญาณส่วนนี้จะเป็นสัญญาณที่บอกคุณลักษณะของสัญญาณวีดีโอที่ปล่อยมาจากแหล่งปล่
อยสัญญาณ ซึ่งสัญญาณในส่วนนี้จะช่วยทีวีของคุณในการกำหนดระดับสีดำ (black level) ของวีดีโอที่จะแสดงบนทีวี และต่อจาก front porch ก็จะเป็นในส่วนของสัญญาณภาพ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นเส้นๆ (lines) โดยจะแบ่งเป็น 455 half cycles ต่อเส้นสัญญาณ 1 เส้นที่แสดงบนทีวี
ขอผมเน้นย้ำอีกครั้ง ว่าผมจะไม่ลงรายละเอียดในเรื่องของการผสมข้อมูลต่างๆ เช่น chrominance (ข้อมูลเกี่ยวกับสี) และ luminance (ข้อมูลเกี่ยวความสว่าง) ลงไปในสัญญาณอนาล็อก เนื่องจากผมเกรงว่ามันจะทำให้บทความนี้ดูซับซ้อนเกินไป ผมขอพูดสรุปตรงนี้ว่าสัญญาณอนาล็อกที่ถูกส่งไปยังทีวีนั้น จะประกอบด้วยข้อมูลของเส้นสัญญาณภาพที่ทีวีจะนำไปแสดงให้คุณเห็น และยังประกอบด้วยสัญญาณข้อมูลอื่นๆ ที่ทีวีไม่แสดงให้คุณเห็น เช่น close captioning และ test signal เป็นต้น
เมื่อคุณใช้เครื่องมือ (scope) ในการดูสัญญาณอนาล็อกที่ส่งไปยังทีวี คุณจะเห็น waveform ที่มีลักษณะคล้ายๆ ภาพดังต่อไปนี้
Waveform หรือ “คลื่น” ที่เห็นในภาพ เป็น waveform ของสัญญาณอนาล็อก ถ้าเราจ้องไปที่ timeslice (ช่วงใดช่วงหนึ่งของคลื่น) เราจะเห็นว่าในช่วงนั้นสัญญาณมันมีความต่างศักย์เท่าใด
ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นการง่ายมาก ที่สัญญาณอนาล็อกจะถูกรบกวน และผสมปนเปไปกับสัญญาณที่เข้ามารบกวนนั้น ซึ่งเมื่อการรบกวนเกิดขึ้น ก็จะทำให้มี noise เพิ่มเข้าไปในสัญญาณ และยิ่งมี noise ในสัญญาณมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพที่แสดงบนโทรทัศน์ก็จะด้อยคุณภาพลงเท่านั้น คุณจะเริ่มเห็นเอฟเฟคท์แปลกๆ บนภาพ เช่น จุดลายๆ (snow), เส้นต่างๆ และสีที่ผิดเพี้ยน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะว่า waveform ที่ส่งผ่านสายถูกรบกวนจนมีผลให้สัญญาณที่ส่งมาจากแหล่งกำเนิดผิดเพี้ยนไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเข้าสู่ยุคดิจิตอล (ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงสัญญาณดิจิตอลที่ส่งผ่านสาย HDMI) ข้อมูลที่ส่งผ่านสายสัญญาณจะถูกเข้ารหัส (encoded) ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกับแบบอนาล็อก โดยข้อมูลที่ส่งผ่านสายจะเป็นชุดของบิท (bits) หรือพูดง่ายๆ คือ สัญญาณที่ส่งจะเป็นรหัสที่แสดงว่าข้อมูลเป็น ON หรือ OFF เท่านั้น โดยมันไม่สนใจว่าที่ timeslice นั้นๆ จะมีความต่างศักย์ไฟฟ้าเป็น 4.323 โวลต์ หรือ 4.927 โวลต์ สิ่งที่มันสนใจอย่างเดียวคือว่าสัญญาณตรงนั้นเป็น on หรือ off เท่านั้น เมื่อเราเอาสัญญาณดิจิตอลมาพล็อตเป็นกราฟ จะได้ภาพดังนี้
นี่ล่ะครับสัญญาณดิจิตอล ในแต่ละ slice ของสัญญาณ บิทไหนที่ขึ้นสูง (high) สัญญาณจะเป็น on และบิทไหนที่ลงต่ำ (low) สัญญาณก็จะเป็น off
ด้วยเหตุนี้ ถึงคุณจะผสม noise จำนวนเล็กน้อย หรือจำนวนมหาศาลเข้าไปในสัญญาณดิจิตอลก็ตาม มันก็จะไม่ส่งผลอะไรเลย เพราะยังไงสัญญาณก็ยังเป็น ON หรือ OFF อยู่วันยังค่ำ
ทีนี้เรามาดูการเปรียบเทียบในแบบที่เข้าใจง่ายกันเถอะ
Section B:
อนาล็อก: ลองนึกถึงขั้นบันไดสัก 200 ขั้นไว้ในใจนะครับ และให้มีนาย A กำลังไต่บันไดอยู่ สัญญาณอนาล็อก จะเป็นตัวบอกว่านาย A อยู่ที่บันไดขั้นไหน ณ ขณะเวลาหนึ่งๆ และสมมติว่านาย A กำลังเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ (เปรียบเสมือนสัญญาณที่ถูกรบกวน และเพี้ยนจากต้นฉบับไปเรื่อยๆ) ตรงนี้ล่ะที่ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่น สมมติว่า ณ ขณะนั้นนาย A อยู่บนบันไดขั้นที่ 101 แต่ด้วยสัญญาณที่รบกวน คุณอาจจะเข้าใจผิดว่าเขากำลังอยู่ขั้นที่ 102 และยิ่งนาย A เดินขึ้นบันไดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คุณก็จะเริ่มสับสนขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงจุดจุดหนึ่ง คุณจะไม่สามารถบอกได้เลยว่า ณ ขณะนี้นาย A อยู่ที่บันไดขั้นไหนกันแน่
เพิ่มเติมจากผู้แปล: เนื่องจากสัญญาณอนาล็อก เป็นการวัดความต่างศักย์ของกระแส ณ เวลา (timeslice) ขณะใดขณะหนึ่ง สมมติว่า สัญญาณที่มันควรจะเป็น ณ ขณะนั้นคือ 0.75 โวลต์ แต่เนื่องจากมีการรบกวน ทำให้สัญญาณ ณ ขณะนั้น กลายเป็น 0.68 โวลต์ จึงทำให้ทีวีของเราตีความสัญญาณนั้นไม่ถูกต้อง และนำไปสู่การแสดงภาพที่ผิดเพี้ยนนั่นเอง
ดิจิตอล: ลองนึกถึงบันได 200 ขั้นกับนาย A เหมือนเดิมนะครับ – ในกรณีที่เป็นสัญญาณดิจิตอล คุณจะไม่สนใจว่านาย A จะอยู่บันไดขั้นที่ 13 หรือ 15 แต่สิ่งที่คุณสนใจก็คือ นาย A อยู่ “ข้างบน” หรือ “ข้างล่าง” ถึงแม้นาย A จะเดินขึ้นบันไดไปอีกกี่ขั้นก็ตาม และคุณจะไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปว่าเขาอยู่บันไดขั้นไหนแล้ว (จะเพิ่มสัญญาณรบกวนหรือ noise ไปมากเท่าใดก็ตาม) แต่สิ่งที่คุณสามารถที่จะบอกได้แน่นอนก็คือ ณ ขณะนั้นนาย A อยู่ “ข้างบน” หรือ “ข้างล่าง” (เป็น “1” หรือ “0” นั่นเอง)
และสมมติว่า นาย A เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คุณไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปว่านาย A เป็น 1 หรือ 0 กันแน่ (เพิ่ม noise เข้าไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เครื่องรับสัญญาณไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไปว่าอะไรคือ “ข้อมูล” และอะไรคือ “noise” – ผู้แปล) แต่ก็นับเป็นข้อดีของโลกดิจิตอลครับ คือ อุปกรณ์ดิจิตอลจะไม่ใช้วิธี “เดา” เมื่อมันได้รับสัญญาณ มันจะทำงานได้ แต่ถ้ามันรับสัญญาณไม่ได้ มันจะไม่ทำงานเลย
(เพิ่มเติมจากผู้แปล: ถ้าสัญญาณ HDMI โดนรบกวนมากจนกระทั่งทีวีไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัญญาณกับ noise ได้ล่ะก็ ทีวีของคุณจะไม่ใช้วิธีการคาดเดา แต่มันจะไม่แสดงภาพเลย)
นี่ล่ะครับเป็นเหตุผลว่าทำไมสายสัญญาณราคาถูกไม่มีผลต่อคุณภาพของสัญญาณดิจิตอล
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณเผอิญไปได้ยินใครพูดว่าเขาสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างการใช้สาย HDMI ราคาถูกกับสายราคาแพง คุณก็สามารถหัวเราะเขาในใจได้เลย เพราะเขาได้เสียเงินจำนวนมากมายไปอย่างไร้ประโยชน์ และไร้จุดหมายครับ
หลายๆ คนอาจพูดว่า สาย HDMI ราคาแพงจะให้เสียงที่ดีกว่า นั่นก็เป็นความเชื่อที่ผิดครับ เพราะสัญญาณเสียงที่ส่งผ่านสาย HDMI เป็นสัญญาณดิจิตอลเช่นเดียวกับสัญญาณวีดีโอ เพราะฉะนั้นทฤษฎีของขั้นบันไดที่ผมได้กล่าวไปแล้วก็สามารถนำมาใช้ตรงนี้ได้ด้วย… ผมจึงขอเน้นย้ำว่า เนื่องจากมันเป็นสัญญาณดิจิตอล มันจึงไม่มีความแตกต่างอะไรเลยระหว่างสายราคาถูกกับสายราคาแพง


ที่มา: http://boardsus.playstation.com/playstatio…hread.id=828972

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

iPad mini (ไอแพด มินิ) เตรียมจำหน่ายศูนย์ไทย ทั้ง AIS Dtac และ Truemove H ต้นธันวาคมนี้


iPad mini (ไอแพด มินิ) เตรียมจำหน่ายศูนย์ไทย ทั้ง AIS Dtac และ Truemove H ต้นธันวาคมนี้
[8-พฤศจิกายน-2555] ถึงแม้ว่า ในตอนนี้ iPad mini (ไอแพด มินิ) จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการแบบออนไลน์ บน Apple Store Thailand ประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่เนื่องจาก ผู้ที่สั่งซื้อ ipad mini แบบออนไลน์ จำเป็นจะต้องรอสินค้าประมาณ 2-3 สัปดาห์ ทำให้ชะลอการซื้อ iPad mini (ไอแพด มินิ) ไว้ก่อน และรอการเปิดจำหน่าย iPad mini (ไอแพด มินิ) อย่างเป็นทางการจากผู้ให้บริการในไทยอีกที

ล่าสุด โพสต์ทูเดย์ รายงานครับว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จากผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 ราย ทั้ง AIS, Dtac และ Truemove H ช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ซึ่ง iPad mini (ไอแพด มินิ) ที่ผู้ให้บริการจะเปิดจำหน่ายนั้น จะมีแต่รุ่น Wi-Fi + Cellular เท่านั้นครับ เนื่องจากจะต้องขายเครื่อง พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ส่วนราคา จะเป็นราคาที่เท่ากับบน Apple Store ดังนี้
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi ราคา $329 (ราคาไทย 11,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi ราคา $429 (ราคาไทย 14,200 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi ราคา $529 (ราคาไทย 17,200 บาท)
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา $459 (ราคาไทย 15,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา $559 (ราคาไทย 18,200 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา $659 (ราคาไทย 21,200 บาท)
อย่างไรก็ดี หน้าแฟนเพจ iStudio by UFicon ได้โพสราคาทั้ง ipad mini, iPad 2 และ iPad 4 (ไอแพด 4) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเผยว่า ถ้าหากมีสินค้าเข้ามาเมื่อไหร่ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งครับ คาดว่า น่าจะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคม เช่นเดียวกันครับ -iStudio by UFicon

รีวิว iPad mini (ipad mini review)
[31-ตุลาคม-2555] มาแล้วครับ กับบทความ รีวิว iPad mini (iPad mini review) แท็บเล็ตขนาด 7.9 นิ้วตัวแรกจาก Apple ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น ไม่ได้อยู่ที่ตัวเครื่องขนาดเล็ก ถือได้พอดีมือเท่านั้น แต่ราคาของ iPad mini (ไอแพด มินิ) ยังถือว่า น่าสนใจไม่แพ้กัน และกลายเป็นคู่แข่งของแท็บเล็ตราคาประหยัดหลายๆ รุ่นในตลาด ณ ตอนนี้อีกด้วย แม้ว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) จะมีราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่เรื่องคุณสมบัติ ฟีเจอร์ และการใช้งานนั้น ทาง Apple มั่นใจว่า ดีกว่าอย่างแน่นอนครับ
เริ่มต้นบทความ รีวิว iPad mini (ipad mini review) ด้วยสเปค iPad Mini กันก่อน ดังนี้ครับ
- หน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล (163 ppi)
- ระบบประมวลผลแบบ Dual-core processor (Apple A5 chipset) ซึ่งเป็นซีพียูเดียวกับ iPad 2
- RAM ขนาด 512MB
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16GB, 32GB และ 64GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลช
- มีรุ่นรองรับเครือข่าย 3G และ 4G
- น้ำหนัก 308 กรัม

iPad mini : การออกแบบ
iPad mini (ไอแพด มินิ) มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดเดียวกับ iPad 2 นั่นเอง หรือจะเรียกง่ายๆว่า iPad Mini คือ iPad 2 ย่อส่วน แต่สามารถใช้งานได้เทียบเท่า iPad ขนาดใหญ่ครับ ส่วนความละเอียดพิกเซลต่อนิ้ว หรือ ppi นั้น อยู่ที่ 163ppi เท่านั้น เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตคู่แข่งอย่าง Nexus 7 หรือ Kindle Fire HD (216ppi) หรือ Nook color (243ppi) ถือว่า iPad mini มีค่า ppi ที่ค่อนข้างต่ำ แต่ไม่มีผลต่อการใช้งานมากเท่าที่ควรครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง เป็นวัสดุเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) นั่นก็คือ anodized aluminum โดย iPad mini รุ่น Wi-Fi จะมีลักษณะเป็นผิวเรียบธรรมดาๆ แต่ถ้าเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะมีแถบสัญญาณสีดำ คาดด้านบนตัวเครื่อง เช่นเดียวกับ iPad ขนาดใหญ่ ส่วนลำโพงนั้น ได้เปลี่ยนจากตำแหน่งในด้านหลัง ที่มีแค่ช่องเดียว มาอยู่ท้ายเครื่องในด้านล่างแทน
ปุ่ม Home ในตำแหน่งด้านหน้าตัวเครื่องนั้น ยังมีลักษณะเหมือนเดิม และมีเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น ไม่มีปุ่มเมนูแบบ capacitive button เช่นเดียวกับแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ
สำหรับ iPad mini รุ่น Wi-Fi นั้น ด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นผิวเรียบๆ ครับ ไม่มีปุ่ม หรือพอร์ตอื่นๆ
ส่วนด้านขวา มีปุ่มปรับเสียง และปุ่มปิดเสียง/ล็อคการหมุนของหน้าจอครับ ซึ่งสีของปุ่มนั้น เป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง
ด้านบนของตัวเครื่อง เป็นช่องสำหรับหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตรงกลางตัวเครื่อง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง
พอร์ตการเชื่อมต่อด้านล่าง มีการเปลี่ยนใหม่ครับ เป็นพอร์ตแบบ Lightning connector ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับที่ใช้บน iPhone 5 ส่วนด้านข้างนั้น เป็นลำโพงครับ
กล้องด้านหลัง เป็นกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่า เป็นความละเอียดที่กำลังดีสำหรับผู้ที่ชอบแท็บเล็ตที่มีกล้องถ่ายรูปแบบชัดๆ และสามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 1080p เลยทีเดียว แต่กล้องด้านหลังบน iPad mini นั้น ไม่มีไฟแฟลชครับ
สำหรับคุณสมบัติของกล้อง iSight บน iPad mini (ไอแพด มินิ) ได้แก่ รูรับแสงขนาด ƒ/2.4, มีระบบ Face detection ตรวจจับใบหน้า และระบบ Auto focus นอกจากนี้ ยังมี hybrid infrared filter ซึ่งเป็นฟิลเตอร์แบบเดียวที่ใช้บนกล้อง DSLR ราคาแพงอีกด้วย
ส่วนกล้องด้านหน้า เป็นกล้องแบบ FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 720p นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งาน FaceTime ผ่านเครือข่าย 3G หรือ 4G ได้อีกด้วยครับ
สำหรับน้ำหนักของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น อยู่ที่ 308 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi หรือ 312 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ซึ่งแม้ว่า จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว อย่าง Nexus 7 แต่น้ำหนักกลับเบากว่าครับ ส่วนความหนาของตัวเครื่องนั้น อยู่ที่ 7.2 มิลลิเมตรเท่านั้น เทียบกับ Nexus 7 (10.45 มม.) ถือว่า iPad mini บางกว่ามากทีเดียว
iPad mini : เปรียบเทียบความละเอียดของหน้าจอ กับ iPad รุ่นพี่
อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นครับว่า iPad mini นั้น มีความละเอียดอยู่ที่ 1024 x 768 พิกเซล เท่านั้น เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตคู่แข่งอย่าง Nexus 7 ถือว่า ละเอียดน้อยกว่ามาก เนื่องจาก Nexus 7 นั้น มีความละเอียดอยู่ที่ 1280 x 800 พิกเซล แต่ถ้าเทียบในเรื่องของความสบายตาแล้ว จริงอยู่ที่หน้าจอที่มีความละเอียดสูงกว่า จะอ่านได้สบายตากว่า แต่ก็ถือว่า ไม่ได้มีผลต่อการใช้งานมากค
mini บางกว่ามากทีเดียว

iPad mini : Smart cover
สำหรับอุปกรณ์เสริม iPad mini (ไอแพด มินิ) อย่าง Smart Cover นั้น มีความเหมือนกับ Smart Cover บน iPad รุ่นใหญ่ตรงที่ สามารถพับได้ 3 ตอนเหมือนกัน และเมื่อเปิดแผ่นพับออก หน้าจอก็สว่างเองอัตโนมัติ แต่ความแตกต่างของ Smart Cover บน iPad mini กับ Smart cover บน iPad รุ่นใหญ่ อยู่ตรงที่ด้านข้างตัวเครื่อง
จะเห็นได้ว่า ขอบที่เป็นเหมือนบานพับของ Smart cover บน iPad mini นั้น จะไม่ใช่เหล็ก 2 อันแยกกันแบบ Smart cover ของ iPad 2 หรือ The new iPad อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นแบบเดียวกับแผ่น Smart cover เลยนั่นเอง ซึ่งข้อดีของแผ่น smart cover แบบนี้ก็คือ ไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอยขณะแป๊กติดกับตัวเครื่องครับ ท่านใดเคยใช้ Smart cover กับ iPad 2 หรือ The new iPad จะเห็นว่า เมื่อดึงเข้าดึงออกบ่อยๆ จะเกิดรอยเล็กๆ ที่ตัวเครื่อง แต่แผ่น Smart cover แบบนี้ จะไม่เกิดรอย เนื่องจากไม่ใช่เหล็ก ปะทะกับเหล็กนั่นเอง
iPad mini : ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่
Apple ได้เคลมความสามารถของแบตเตอรี่บน iPad mini ไว้ตั้งแต่ตอนเปิดตัวแล้วว่า สามารถใช้งานได้นานถึง 10 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้ เว็บไซต์ theverge จึงได้ทำการทดสอบโดยการใช้งานอย่างหนักทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็น เช็คอีเมล ท่องเว็บ, เล่นเกม, ฟังเพลง หรือแม้แต่ดูวิดีโอ และได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจครับ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า แบตเตอรี่จะหมดลงแต่อย่างใด ซึ่ง theverge คอมเมนต์ว่าใช้งานได้ถึงวันถัดไปเล้ยยยย

iPad mini : บทสรุปการใช้งาน
เว็บไซต์ theverge ให้ความพึงพอใจต่อ iPad mini ในเรื่องของ Ecosystem ครับ นอกจากนี้ ยังชื่นชมว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) เป็นแท็บเล็ตที่ดี ทั้งในเรื่องของการออกแบบ ความทนทานของวัสดุที่ใช้ในการผลิต รวมไปถึงแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานได้ยาวนานด้วยนั่นเอง แต่สิ่งที่ทาง theverge ไม่ประทับใจต่อ iPad mini นั้น ก็คือ ความละเอียดของหน้าจอครับ รวมไปถึงราคา ที่ยังอยู่ในระดับที่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่โดยรวมแล้วถือว่าโอเคค่ะ

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Samsung Galaxy Camera เตรียมจำหน่ายในสหราชอาณาจักร สนนราคาที่ 19,700 บาท



Samsung Galaxy Camera เตรียมจำหน่ายในสหราชอาณาจักร เคาะราคาที่ 19,700 บาท



[7-พฤศจิกายน-2555] เปิดตัว Samsung Galaxy Camera ไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุด เริ่มมีความเคลื่อนไหวในการวางจำหน่าย กล้องแอนดรอยด์ Samsung Galaxy Camera ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ โดยจะเริ่มจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ในวันนี้ (7 พ.ย.) ผ่านทาง Samsung Brand Store ส่วนร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Carphone Warehouse, Phones4U และ Jessops จะวางจำหน่ายในวันที่ 8 พฤศจิกายน
สำหรับราคาของ กล้องแอนดรอยด์ Samsung Galaxy Camera นั้น ที่ร้าน Jessops ตั้งราคาไว้ที่ £400 หรือประมาณ 19,700 บาท มีให้เลือก 2 สีคือ สีขาว และสีดำ แถมฟรี SanDisk microSD ขนาด 8GB อีกด้วยครับ ส่วนราคา Samsung Galaxy Camera ในร้านค้าอื่นๆ คาดว่าไม่น่าจะต่างไปจากนี้
สำหรับสเปคของ Samsung Galaxy Camera เป็นดังนี้ครับ
- หน้าจอสัมผัสขนาด 4.8 นิ้ว แบบ Super Clear LCD (308 ppi)
- เซนเซอร์ BSI CMOS ความละเอียด 16.3 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ซูมแบบ Optical 21 เท่า รูรับแสง F2.8 23mm
- รองรับ ISO สูงสุดที่ 3200
- ซีพียูแบบ Quad-core Processor ความเร็ว 1.4GHz
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 8GB สามารถเพิ่มได้ด้วย microSD card
- รันระบบปฏิบัติการ Android 4.1 Jelly Bean
- ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 1080p 30FPS
- ถ่ายแบบ slow motion ได้สูงสุด 720p 120FPS
- รองรับ Wi-Fi, Bluetooth 4.0, GPS และ HDMI
- รองรับเครือข่าย 3G (850/900/1900/2100 MHz) และ 4G
- แบตเตอรี่ขนาด 1650 mAh น้ำหนัก 305 กรัม
- ตัวเครื่องหนา 19.1 มิลลิเมตร

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ราคาไอโฟน5 เครื่องศูนย์ VS เครื่องหิ้ว


จากราคาแล้วตัดสินใจไม่ยากเลยใช่มั้ยคะว่าจะซื้อเครื่องศูนย์หรือเครื่องหิ้ว ^^

              Credit: TechMoBlog

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

iPad mini (ไอแพด มินิ) เปิดตัวแล้ว สรุปสเปค และราคา iPad Mini ล่าสุด



iPad mini (ไอแพด มินิ) เปิดตัวแล้ว สรุปสเปค และราคา iPad Mini ล่าสุด [24-ต.ค.55] : iPad mini หน้าจอ 7.9 นิ้ว ใช้ชิป Apple A5 แบบเดียวกับ iPad 2 เปิดขาย 2 พ.ย.นี้




[24-ตุลาคม-2555] เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ กับ iPad mini (ไอแพด มินิ) ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา หรือตรงกับเวลาประมาณเที่ยงคืน ตามเวลาในประเทศไทยนั่นเอง โดยงานนี้ จัดขึ้นที่ โรงละคร San Jose’s California Theatre ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาครับ แน่นอนว่า เต็มไปด้วยบรรดาสื่อมวลชนที่เข้าร่วมงานกันอย่างมากมายทีเดียว
นอกจากภายในงาน จะมีการเปิดตัว iPad Mini (ไอแพด มินิ) แล้ว ยังได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น MacBook Pro retina หน้าจอ 13 นิ้ว, New iMac, New Mac Mini และ iPad 4 (ไอแพด 4) ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงของ The new iPad (iPad 3) ที่มีการเปลี่ยนมาใช้พอร์ตการเชื่อมต่อที่เล็กลงนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะไปโฟกัสกันที่ผลิตภัณฑ์อื่น มาดูคุณสมบัติของ iPad mini (ไอแพด มินิ) กันครับ

iPad mini (ไอแพด มินิ) หน้าจอ 7.9 นิ้ว ใช้ชิป Apple A5 แบบ Dual-core processor และกล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล


และด้านบนนี้ก็คือ สเปคของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั่นเองครับ โดย iPad Mini (ไอแพด มินิ) นั้น มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดเดียวกับ iPad 2 และแน่นอนครับว่า ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display อย่างแน่นอน โดยเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตหน้าจอ 7 นิ้วยี่ห้ออื่นๆ พบว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) มีพื้นที่การใช้งานที่ใหญ่กว่าถึง 35%


ชิปเซ็ทที่ใช้บน iPad mini นั้น เป็น Apple A5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ทตัวเดียวกับที่ใช้บน iPad 2 ครับ

สำหรับวัสดุที่ใช้ผลิต iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น เป็น aluminium unibody แบบเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) นั่นเอง ส่วนความหนาของตัวเครื่องนั้นอยู่ที่ 7.2 มิลลิเมตร บางกว่า iPad 23% และหนัก 0.68 ปอนด์ เบากว่า iPad 53% ครับ จะเห็นได้ว่า ความบางของ ipad mini ขนาดเท่าดินสอเท่านั้นเอง

กล้องด้านหลังแบบ iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีไฟแฟลช โดยเป็นเลนส์ทั้งหมด 5 ชิ้น รูรับแสงขนาด f/2.4 ที่ช่วยให้ภาพที่สว่าง และคมชัด มีระบบ Autofucos นอกจากนี้ ยังมี hybrid infrared filter ซึ่งเป็นฟิลเตอร์แบบเดียวที่ใช้บนกล้อง DSLR ราคาแพง อีกทั้งยังสามารถบันทึกภาพวิดีโอขนาด Full HD 1080p ได้ ส่วนกล้องด้านหน้า FaceTime นั้น ความละเอียดระดับ HD ครับ

ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อนั้น เป็นแบบ Lightning connector ซึ่งมีขนาดเล็กลงกว่าพอร์ตแบบเดิม และเป็นพอร์ตแบบเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) ด้วยนั่นเอง

เหมือนกับ The new iPad (iPad 3) และ iPad 4 (ไอแพด 4) ครับ เมื่อ iPad mini (ไอแพด มินิ) สามารถรองรับเครือข่าย LTE ได้ ส่วน Wi-Fi นั้น เป็นแบบ dual-band (2.4GHz and 5GHz) ที่ช่วยให้อัตราการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 150 Mbps ครับ

iPad mini มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 6 ที่มีความสามารถในการรองรับโปรแกรม Siri เหมือนกับ The new iPad และ iPad 4 (ไอแพด 4) นอกจากนี้ ยังรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Facebook และ Twitter โดยสามารถอัพเดทข้อความผ่าน Facebook หรือ ทวีตข้อความจาก Twitter จากการสั่งงานผ่าน Siri
นอกจากนี้ iPad Mini ยังรองรับ Smart Cover ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกับ Smart Cover บน iPad 2, The new iPad (iPad 3) และ iPad 4 (ไอแพด 4) นั่นเอง มีให้เลือกทั้งหมด 6 สีคือ สีเทาเข้ม สีเทาอ่อน สีชมพู สีเขียว สีฟ้า และสีแดง
ราคา iPad Mini (ราคา ไอแพด มินิ)

iPad Mini (ไอแพด มินิ) มีให้เลือก 2 สีคือ สีขาว White & Silver และสีดำ Black & Slate และมีให้เลือก 2 แบบคือ รุ่นที่รองรับ Wi-Fi และรุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular ส่วนราคา ipad mini เป็นดังนี้ครับ



-> iPad Mini 16GB Wi-Fi ราคา $329 (ประมาณ 10,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi ราคา $429 (ประมาณ 13,300 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi ราคา $529 (ประมาณ 16,400 บาท)
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา $459 (ประมาณ 14,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา $559 (ประมาณ 17,400 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา $659 (ประมาณ 20,400 บาท)

วันวางขาย iPad Mini (ไอแพด มินิ) : เปิด Pre order 26 ต.ค.และขายอย่างเป็นทางการ 2 พ.ย. นี้ !!

iPad mini (ไอแพด มินิ) เปิดพรีออเดอร์วันแรก ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งในวันที่ 2 พฤศจิกายนนั้น จะมีวางจำหน่ายเฉพาะรุ่น Wi-Fi ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular นั้น จะวางจำหน่ายในอีก 2 สัปดาห์ถัดไปครับ


ส่วนรายชื่อประเทศที่วางจำหน่าย iPad mini ได้แก่ ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บัลแกเรีย, แคนาดา, สาธารณเช็ก, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ฮังการี, ไอส์แลนด์, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, เปอโตริโก้, โรมาเนีย, สิงคโปร์, สโลวาเกีย, สโลเวเนีย, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา

ขอบคุณข้อมูล :

โปรเจคเตอร์มือถือ MobileCinema i15


Gadget:


  • Mobile Cinema Aiptek i15



โปรเจ็คเตอร์มือถือสำหรับ iPhone4 และ iPhone 5
ถือเป็นโปรเจ็คเตอร์ที่น่าสนใจรุ่นหนึ่ง ที่คุณสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย เพียงแค่วางไอโฟนลงไปเหมือนเสียบแท่นชาร์จ  เพ
MobileCinema i15 is the perfect gadget for your iPhone 4 and iPhone 4S. The compact projector is just like a second skin put on your iPhone and projectes all kind of media on a screen size up to 150 cm (60 "). Simply connect, play and enjoy your private movie show. The used DLP chip, known for great cinema projectors, provides rich colors and high contrasts. The internal battery can also be used to charge your iPhone. Thus, MobileCinema i15 not only an ultra‐ compact pico projector, but also a powerful battery bank makes this gadget really unique.
• DLP technology for sharp and colorful images
• Modern, energy‐saving RGB LEDs for up to 20,000 hours lifetime
• Projects image up to 150 cm (60 ") diagonal
• nHD resolution in 16:9 aspect ratio
• 1000:1 contrast ratio and 100% image offset
• Built‐in rechargeable battery for up to 200 min projection or 1 1⁄2
charge cycles for the iPhone
• Transferring videos and photos via USB from iTunes
• Compatible with all iPhone iPhone 4 and 4S
• Stainless rubberized surface

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยี่ห้อโปรเจคเตอร์ที่จำหน่ายในประเทศไทย


ยี่ห้อโปรเจคเตอร์ที่จำหน่ายในประเทศไทย
by:  www.projectorok.com www.projectorth.com
ยี่ห้อ
บริษัทนำเข้า
เว็บไซต์
1.3M
บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด

Acer Computer Co., Ltd.

3. BenQ
บริษัท เบ็นคิว(ประเทศไทย) จำกัด

แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)
http://www.canon.co.th/

5. Dell
Dell (Thai)
www.dell.co.th

6. Epson
Epson(Thai)
www.epson.co.th

7.  GYGAR
บ.สยามเทค แอนด์ ดีเวลล็อป จำกัด 

8.Hitachi
ฮิตาไทยประเทศไทย

บริษัท อินโฟกัส คอร์ปอเรชั่น
-

10. LG
แอลจี อีเลคโทรนิคส์

11. NEC
บริษัท เลนโซ่ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด

บ. มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด

13. Optoma
บ.ชินวุธ มาร์เก็ตติ้ง จำกั

14. Panasonic
บ.พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

15. RICOH
Ricoh (Thailand)

16. SONY
โซนี่ ประเทศไทย

17. Toshiba
Toshiba Thailand Co.,Ltd

18. Vertex
บริษัท เวอร์เทคซ์ ซัพพลาย จำกัด 

19. ViewSonic
บ.สยามเทค แอนด์ ดีเวลล็อป จำกัด 

20. Vivitek
บริษัท ไอคอม เทค จำกัด